เทศน์พระ

ปะผุ

๑๓ ก.ย. ๒๕๕๘

 

ปะผุ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ เราตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะนะ เราประพฤติปฏิบัติกันเพื่อสัจธรรม สัจธรรมของหัวใจของเรานะ วันนี้อุโบสถ มาครึ่งทางแล้ว นี่สามปักษ์ใช่ไหม มาครึ่งทาง แล้วครึ่งทางเห็นไหม อีกครึ่งหนึ่งออกพรรษา ถ้าออกพรรษาแล้ว เวลาก่อนเข้าพรรษาทุกคนตั้งใจว่า พรรษานี้ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาจริงเอาจัง ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์แล้วว่า ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาจิตสงบแล้วมีความสุข เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ถ้าปฏิบัติถึงสัจจะความจริงแล้วเราจะมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าคุณธรรมในหัวใจ อย่างนี้มันคืออะไร อย่างนี้มันเป็นแบบใด

เวลาทุกข์นี่ไม่ต้องถามหากัน ทุกข์ทุกคนรู้อยู่โดยธรรมชาติ ทุกคนรู้อยู่โดยข้อเท็จจริง ว่าเกิดมานี่เห็นไหม มีแต่ความทุกข์ความยาก เวลาเป็นหวัด หายใจไม่ออก หายใจติดขัด มันก็ไม่สบายแล้ว สิ่งที่ไม่สบายใจ ไม่สบายใจไม่สบายกายทุกคนก็เข้าใจได้

แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ ถ้าจิตสงบแล้ว แล้วพิจารณาแล้วมีความสุข มันเป็นความสุขยังไง ถ้าพิจารณาไปแล้ว เวลากิเลสมันขาด เห็นไหม เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่นี่ เวลาบุคคล ๔ คู่นี่จิตดวงเดียวมันเป็นได้ถึง ๘ อย่าง ได้ถึง ๘ สถานะ พอ ๘ สถานะ บุคคล ๔ คู่นี่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มันเป็นบุคคลที่ ๙ โน่นน่ะ บุคคลที่ ๙ คือพ้นออกไปจากบุคคล ๔ คู่เลย บุคคล ๔ คู่คือการกระทำ คือการเปลี่ยนแปลง คนคนหนึ่ง เห็นไหม มันเปลี่ยนแปลง มันถึงเป็นบุคคลถึง ๔ คู่ เป็นถึง ๘ อย่าง แล้วเวลาถึงนี่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ พอนิพพาน ๑ สัจจะความจริงนั้นเป็นยังไง

เวลาเข้าพรรษาเราก็ปรารถนา เราก็ตั้งเป้า เราอยากจะประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ แล้วเป็นอนาคตใช่ไหม สิ่งที่เป็นอนาคตยังมาไม่ถึงน่ะสมบัติบ้า พอสมบัติบ้านี่มันจินตนาการได้หมดเลย เพราะสมบัติบ้า คนบ้ามันคิดได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าคนบ้าเพราะมันบ้า บ้าด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นบุคคล ๔ คู่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มันไม่ใช่บ้า นี่คืออริยสัจ นี่คือสัจจะความจริง นี่คือคุณธรรม นี่คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครองไว้ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาแต่สมบัติของเรา สมบัติของเรา” มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปน่ะ สิ่งนั้นตั้งแต่วันที่กิเลสขาด วันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ชำระล้างอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจไม่มีแม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย มันเป็นสัจจะความจริง สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่ยังทรงดำรงชีพอยู่ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วน่ะมันก็นิพพานเหมือนกัน

แต่ขณะที่ยังดำรงชีพอยู่ สิ่งนั้นมันมีธาตุขันธ์ นี่เศษส่วนที่เหลือ เศษส่วนที่เหลือที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาทรัพย์สมบัติของเรา เกิดมาในอำนาจวาสนา สมบัติของเราทั้งนั้น แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เอาสมบัตินี้ปฏิบัติ เอาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่ประพฤติปฏิบัติ เอาสัจจะความจริงนี่ประพฤติปฏิบัติ เอาจิตใจนี่ค้นคว้าสัจจะความจริงในใจของเราขึ้นมาให้มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา

เวลามันชำระล้าง มันคายกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกจากหัวใจไปแล้ว นี่ทำทุกสิ่ง ภวาสวะทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายทุกอย่างเลย สิ่งที่เหลือคือธาตุขันธ์ นี่เศษส่วน สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ดำรงชีพอยู่ไง แต่พระอรหันต์ที่ตาย ที่กำลังจะตาย ที่ตาย เห็นไหม ที่ตายน่ะเพราะอะไร เพราะกิเลสมันตายตั้งแต่วันบรรลุธรรม กิเลสตายตั้งแต่สิ้นกิเลส มันจะมีอะไรมาในหัวใจ มันมีอะไรเป็นความลี้ลับ มันมีอะไรให้น่าสงสัย ไม่มีเลย นี่ความจริงเป็นความจริงอย่างนั้น

เวลาก่อนเข้าพรรษา เราตั้งใจ ผู้ที่บวชใหม่ บวชใหม่แล้วก็ตั้งเป้าว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ เป้าหมายก็คือจะสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ เห็นไหม ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมายังไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราน่ะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านยังไง ท่านได้สร้างอำนาจวาสนามาอย่างใด

แล้วอำนาจวาสนาของเรานี่ เราเป็นลูกใคร พ่อแม่เราก็รู้จัก เราเกิดจากท้องแม่ เราก็รู้ว่าพ่อแม่เรามีอำนาจวาสนา มีสถานะเท่าเขาหรือไม่ เราเกิดมานี่ เราเป็นมนุษย์ เรามีการศึกษามานี่ เราจบการศึกษามา เราทำหน้าที่การงานมานี่จนเราเห็นโลกเห็นภัยในวัฏสงสาร เราละ เราสละสมบัติของสาธารณะ สมบัติของความเป็นมนุษย์น่ะ นี่ออกบวช ออกบวชเป็นสมณะ ออกบวชเป็นสงฆ์ มันเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์นี่เราตั้งเป้า เราค้นคว้า เราต้องการสัจจะความจริงในใจของเรา

เราประพฤติปฏิบัติ เราตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง นับหนึ่งคือพยายามค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงในใจของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติไง แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเราก็ศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาจากธรรมะของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราก็มีจินตนาการ เราก็พยายามจะสร้างภาพโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สร้างภาพโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เวลามันเกิดขึ้นมาเป็นจินตนาการ พอจินตนาการขึ้นไปนี่ มันทำสิ่งใดก็จะได้ จะเป็น จะเป็นอย่างนั้น

แต่มันไม่เป็น พอมันไม่ได้เป็นมันก็คายพิษให้ คายพิษออกมาเห็นไหม ทำไมบวชแล้วมันไม่มีความสุข ทำไมบวชแล้วมันมีแต่ความทุกข์ความยาก นี่ไงเราบวชมาเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อพรหมจรรย์แล้วทำไมไม่เป็นพรหมจรรย์ ทำไมกิเลสมันยังคลุกคลีคลุกเคล้ากับความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลามันคายตัวออกมา แต่ก็เก็บซ่อนไว้ในใจ หน้าชื่นอกตรมไง หน้าตาก็ทำชื่นบาน เป็นคนที่ผ่องแผ้วผ่องใสมีฉัพพรรณรังสี มีแสงออกจากตัว แต่ความเผาลนในใจน่ะเก็บไว้ อยู่ในใจน่ะ จะเผาลนอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง ถ้ามันไม่เป็นความจริงไง

ถ้าเป็นความจริงนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัจจะความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เทศนาว่าการ ภิกษุเวลาบวชเมื่อแก่ ขอกรรมฐานแล้วเข้าป่าไป เวลาเข้าป่าไปไปอยู่ในป่าในเขาแล้วน่ะมีความกลัวผี มีความกลัวในสิ่งความสงบสงัด กลับมาหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุบายไปนะ

ให้คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่คิดอย่างใดแล้วมันยังวิตกวิจารณ์ ยังไม่หายกลัวให้คิดถึงพระธรรม ถ้าคิดถึงพระธรรม ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในสัจจะในข้อเท็จจริงว่ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นทางวิทยาศาสตร์ แต่หัวใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็สร้างภาพ มันก็จินตนาการ ว่าผีตัวใหญ่ๆ สัตว์ร้าย เสือ สิงสาราสัตว์ มันจะมาทำลายเราคนเดียว ในป่านี่ทั้งป่าเลยก็มีเราเป็นอาหารของสัตว์ แต่เวลาสัตว์นักล่านี่ อาหารของมันเต็มป่าไปเลย มันไปล่าสัตว์ป่าสัตว์ที่เป็นอาหารของมัน มันไม่ล่ามนุษย์ มนุษย์ก็คิดแต่ว่าเราเป็นคนคนเดียวที่สัตว์มันจะมาล่า เห็นไหม เวลามันจินตนาการของมันไป

เวลามันคิดของมันแล้วคิดถึงพระธรรม ถ้าคิดถึงพระธรรมแล้วมันยังไม่จบสิ้น คิดถึงพระสงฆ์ คิดถึงพระสงฆ์ คิดถึงพระอริยเจ้า คิดถึงพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านมาตลอด อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี เวลาทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามไปเทศน์ธรรมจักร ได้พระอัญญาโกณฑัญญะได้เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก เวลาเทศน์จนปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบันทั้งหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ นี่ไปเอาหลานมาบวชองค์หนึ่ง แล้วเสร็จแล้วก็อยู่ในป่าในเขา

นี่ไงคิดถึงพระสงฆ์ คิดถึงพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านด้วยความรื่นเริง ด้วยความแช่มชื่น ด้วยความสุขความสงบ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วน สิ่งที่เหลือ ชีวิตที่เหลือ ธาตุขันธ์ที่เหลือ นี่จิตใจนั้นเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว สิ่งที่เหลือ ที่เหลือก็ดำรงชีพไป ดำรงชีพไปรอวันเวลา

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน “เธอจงเห็นความสมควรของเธอเถิด” ความสมควรคือความพอดีของผู้ที่ดำรงชีพ ให้มันเป็นข้อเท็จจริงอันนั้น ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงอันนั้นไม่มีอดีต อนาคต เป็นปัจจุบันนั้น ถ้าหมดอายุขัยมันก็ตายไปตามนั้น นี่ไง เธอจงเห็นสมควรแก่เวลาของเธอเถิด สมควรเวลาของเธอ สมควรแก่เวลาที่ดำรงธาตุขันธ์อยู่ไง นี่ไง พระอรหันต์อยู่ในป่าในเขา เห็นไหม เป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น

เราปรารถนา เราบวชมาเราก็มีเป้าหมายของเราอยากสิ้นสุดแห่งทุกข์ พอสิ้นสุดแห่งทุกข์นี่เป้าหมาย เป้าหมายในพรรษา เห็นไหม เวลาเขาอธิษฐานพรรษากัน อธิษฐานพรรษาถือธุดงควัตร ธุดงควัตรเราถือของเรา นี่กรรมฐาน พระกรรมฐานก็ธุดงค์ ธุดงค์ก็ธุดงค์ ๑๓ นี่ไง มันเป็นสัญลักษณ์ของกรรมฐาน กรรมฐานบวชแล้วเป็นนักรบ นักรบรบกับใคร รบกับกิเลสของเรา กิเลสของเรานะ กินก็ไม่กินมาก บิณฑบาตมาเอาแค่ตกบาตร ภัตตาหารที่ตามมาไม่เอา นี่สิ่งนี้ไม่เอานี่ ญาติโยมของเขาๆ ก็แสวงหาของเขา นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา

เราเป็นสงฆ์ เราเป็นพระ เราไม่ประทุษร้ายสกุลของสงฆ์ ในเมื่อเราตั้งสัจจะของเราแล้ว เราก็รักษาสัจจะของเรา เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจะเคารพธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเคารพธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา แล้วเราทำของเราพระธุดงค์เราก็ต้องสมฐานะของพระธุดงค์ พระธุดงค์มันต้องมีธุดงควัตร มันต้องถือผ้าสามผืน สัจจะความจริง เห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติ

เวลาบวชมาแล้วจะเรียนปริยัติ เรียนแล้วก็ส่งไปสำนักเรียน สำนักเรียนเขาสร้างสำนักขึ้นมาเป็นแผนกการศึกษา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ไม่ได้ศึกษามา ศึกษามีความรู้ขึ้นมา เรียนจบแล้วไม่รู้จะทำอะไรก็เก้งๆ ก้างๆ ใช้ชีวิตของเราไป ใช้ชีวิตของเราไปก็ต้องอยากให้มีสถานะชีวิตทางโลก

ก็เราทิ้งโลกมา เราทิ้งมา เราไม่ต้องการ เพราะเราทิ้งมาแล้วนี่ เราบวชมาเป็นพระ บวชมาเป็นพระกรรมฐาน ถ้าเป็นพระกรรมฐาน เห็นไหม เราถือธุดงค์ของเรา ธุดงค์ของเรา เราก็มีสัจจะมีความจริงของเรา ประพฤติปฏิบัติของเรา เพราะเรามีตั้งเป้า ก่อนเข้าพรรษาเราอธิษฐานธุดงค์ นี่มาคือกลางพรรษา กลางพรรษาต่อไปข้างหน้า

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็มาแบบเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนเรานี่แหละ แต่ท่านเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ เป็นมนุษย์ที่มีบารมี เป็นมนุษย์ที่มีปัญญา มีสิ่งใดคัดเลือกแยกแยะ สิ่งใดที่มันเป็นการกดถ่วง มันเป็นการผูกมัดให้เราอยู่ในวัฏฏะ ท่านพยายามสละ พยายามละ พยายามทิ้ง

พระเจ้าสุทโธทนะมีความปรารถนาให้เป็นจักรพรรดิ เห็นไหม หานางพิมพามาให้ นี่ทุกอย่างให้ครองเรือน ท่านก็ยังมีสติมีปัญญาเอาตัวท่านออกได้ แล้วเอาตัวออกไปแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ออกไปไม่ได้ออกไปด้วยความโกรธแค้นออกไปด้วยความไม่พอใจ ออกไปด้วยปรารถนาพระโพธิญาณ เห็นไหม ได้ตั้งเป้าขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติสัจจะความจริง เวลาสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกลับมาเทศน์เอาพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ ไปเทศน์พระมารดา ไปเทศน์เอานางพิมพา ไปเทศน์เอาสามเณรราหุล เป็นพระอรหันต์หมดเลย

อย่างนี้หรือที่ออกไปโดยความไม่พอใจ ออกไปด้วยความทุกข์ความยาก ออกไปด้วยอำนาจวาสนาบารมี ออกไปด้วยสิ่งที่ได้สร้างสมมา สร้างสมมานี่มันเป็นข้อเท็จจริง ในความเกิดเป็นมนุษย์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านลอยมาจากฟ้าเหรอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดจากนางสิริมหามายา เกิดจากพระเจ้าสุทโธทนะ มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงทางโลก ทางโลกมันเป็นการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นความจริง ศาสนาที่ขาวสะอาด ศาสนาความจริงคือศาสนาพุทธ มีที่มาที่ไป ไม่ใช่ศาสดา นี่ลับๆ ล่อๆ ศาสดาไม่มีที่มาที่ไป ศาสดายังไม่ชัดเจนน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วเวลาเป็นพระอรหันต์นี่เป็นยังไง ให้ถามมาสิ ปัญจวัคคีย์อยู่ด้วยกันมารู้เท่าทันกัน เวลาจะไปเทศน์ปัญจวัคคีย์น่ะ นัดกันไม่รับ

“เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็บอกว่าไม่ได้เป็น บัดนี้เป็นแล้วก็บอกว่าเป็น แล้วเป็นยังไง ก็เงี่ยหูลงฟัง จะบอก”

เวลาเทศนาว่าการไป ถ้ามันไม่ใช่ความจริง พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมได้ยังไง เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมน่ะมันเป็นพยานต่อกันไง ว่าเทศน์ธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีสัจจะมีความจริง นี้ความจริงผู้ที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้ปัญญาไตร่ตรอง เพราะปัญจวัคคีย์ ๕ คน ฟังเหมือนกัน ในสถานที่เดียวกัน พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมองค์เดียว อีก ๔ คนนั้นยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม

อำนาจวาสนาของคนไม่เท่ากัน สติปัญญาของคนไม่เหมือนกัน เสร็จแล้วเทศนาว่าการจนปัญจวัคคีย์ พระอัสสชิ พระมหานาม จนเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตรเหมือนกันถึงเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เวลาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน สิ่งที่มีสติมีปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นอย่างนั้นถ้าคนที่มีสติมีปัญญา

เราเองเราก็ตั้งใจของเรา เราก็จะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา ด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราไม่มีกำลังพอ เห็นไหม นี่ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ท่านก็ค้นคว้าของท่านเหมือนกัน ท่านปฏิบัติของท่านเหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้ว เห็นไหม ดูสิ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บาลีนี่ชี้ทางบอกเข้ามาถึงใจ แต่บอกยังไงเราก็ยังสงสัย บอกยังไงเราก็ไม่มีอำนาจวาสนาที่จะทำความเข้าใจกับสัจธรรม กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นคนประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านทำความจริงขึ้นมาในใจของท่าน ท่านทำตัวเป็นแบบอย่าง ท่านถึงมีข้อวัตรปฏิบัติวางไว้ให้เรา มันเป็นประโยชน์สองชั้น ชั้นหนึ่งคือมันมีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว แล้วอีกชั้นหนึ่งคือมีครูบาอาจารย์ที่ทำให้เราเห็นอยู่แล้ว ทำให้ประสบความสำเร็จในใจของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นอยู่แล้ว แล้วถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา เราทำของเรา ทำด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราไม่ได้ทำด้วยความมักง่าย หยิบเอาบนฟ้า หยิบจับมาด้วยสัญญา หยิบจับเอามาด้วยจินตนาการ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาเลย

นี่ดูสิ เวลารถ เห็นไหม รถที่เขาออกมาใหม่ๆ เขาเอามาจากไหน มาจากโรงงาน รถประกอบมาจากเมืองนอก เขาบอกของนี่มีคุณภาพ เขาใช้สอยจนมันเสียหาย เขาก็เอาไปซ่อมแซมปะผุ ปะผุทำสีแจ่มเลย แล้วเอามาให้เรา ให้เราใช้ไง นี่พูดถึงเรื่องรถนะ

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ นี่ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นสัจจะเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในใจของท่าน ท่านเป็นความจริงของท่าน ของเราน่ะเราไปยืมไปฟังมา ไปฟังมาไปจินตนาการมาน่ะ ไปก๊อบปี้มา แล้วก๊อบปี้มาแล้วก็มาปะมาผุ ตรงไหนมันชำรุดเสียหายก็ปะผุ ทำสีเสียแจ่มเลย

บวชมาแล้ว ไปไหน เห็นไหม ดูสิ บริขารห่มผ้าดำรงชีพอย่างกับขุนนาง มันมีประโยชน์อะไรน่ะ ดูสิ เวลาเขาปะผุนี่ เขาปะผุเพราะมันเสียหาย ดูทางอุตสาหกรรมกัน เขาซ่อมแซมของเขา ไอ้นี่เหมือนกัน เวลาปะผุหัวใจ ปะผุมันไม่ใช่ธรรม ถ้ามันเป็นธรรม เราต้องทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา ไม่ใช่ปะผุ

ปะผุคือสวยแต่รูป มีแต่กิริยา สิ่งที่ทำมาก๊อบปี้มา ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราต้องทำของเราเข้ามา มีองค์ความรู้ไง มีสัจจะมีความจริงไง ถ้าเราทำความสงบของใจได้ ใจก็สงบระงับเข้ามาแล้ว แล้วทำยังไง? ทำยังไงจิตมันถึงสงบ? แล้วสงบขึ้นมานี่มันสติปัญญายังไง? นี่ความสงบนี่

ในปัจจุบันนี้พระทำสมาธิกันไม่เป็น ทำสมาธิกันไม่ได้ ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะภวังค์ทั้งนั้น มันไม่มีสัจจะความจริง เพียงแต่ว่าอาศัยสัญญาอารมณ์เป็นเครื่องอยู่เท่านั้น ไม่มีความจริงขึ้นมาเลย ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาน่ะมันต้องทรงของมันอยู่ได้ ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิเป็นยังไง นี่สมาธิธรรม ปัญญาธรรม สัจธรรมมันต้องมีขึ้นมา

ถ้ามีขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เราอยู่ของเราได้ เราอยู่ของเราได้เพราะมันเป็นความจริงน่ะ นี่ถ้าธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลก เห็นไหม ชื่อของมันกับข้อเท็จจริง ชื่อของมันกับตัวจริง ตัวจริงคือตัวศีล ตัวสมาธิ ตัวปัญญา ที่เขาได้ๆ มานี่ เขาได้ยินแต่ชื่อ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมะมันเก่าแก่ ใครๆ ก็พูดได้ เวลาพูดได้แล้วพูดไปนี่ แล้วคนที่วุฒิภาวะไม่ถึงก็เชื่อกันไป นี่เชื่อตามๆ กันมาทั้งนั้นน่ะ ถ้าเชื่อตามๆ กันมานะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาน่ะ ท่านเอาจริงของท่าน ท่านแยกตัวของท่านออกไป เวลาเป็นความจริงขึ้นมาน่ะ มันเป็นความจริงขึ้นมามันมีหลักในใจ ถ้าหลักใจมันมีแล้ว เห็นไหม มันอยู่ด้วยความสุขความสบายนะ นี่มีความสุขอยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว

ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ เวลามันชำระล้างกิเลสน่ะ มันสำรอกมันคายออกไป มันมหัศจรรย์น่ะ มันมหัศจรรย์นะ ดูสิ เวลาพระเราบวชใหม่ขึ้นมานะ เป็นพระนวกะ ถ้า ๕ พรรษาขึ้นน่ะต้องสวดปาฏิโมกข์ได้ คนสวดปาฏิโมกข์ได้สังเกตไหม หนังสือทั้งเล่ม แหม มหัศจรรย์ มันจำได้ มันแปลกๆ ทั้งที่เราก็สวดนี่มันแปลก มันแปลกเพราะเราสวดได้ นี่เวลามันเป็น

นี่เหมือนกัน เวลาเราทำสมาธิได้ เราฝึกหัดใช้ปัญญาได้ เวลามันเกิดขึ้นมานี่มันมหัศจรรย์แบบนี้ เวลาคนสวดปาฏิโมกข์ไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องสวดปาฏิโมกข์ไม่ได้ เวลาสวดปาฏิโมกข์ได้นี่ ฮื่อ จนบางคนหลงน่ะ เวลาสวดปาฏิโมกข์ได้ บริขารน่ะปักเลย พระปาฏิโมกข์ กลัวเขาไม่รู้ว่าสวดได้ เราก็ได้คนละเล่มนะ หนังสือปาฏิโมกข์ไว้ในย่ามน่ะ ฉันก็ได้ปาฏิโมกข์อยู่ในย่ามคนละเล่ม ทำไมจะไม่ได้ เราก็ได้ ถ้ามันจะสวมรอย ถ้ามันสวมรอยก็สวมรอยแบบนั้น

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาน่ะ มันมหัศจรรย์ตัวเอง เพราะใครไม่รู้เหมือนเรา เรารู้เอง เราสวดได้จริงๆ พอเราสวดได้นี่ เรารู้ความหมาย เรารู้ถึงข้อห้าม เรารู้ถึงอาบัติหนักอาบัติเบา แล้วเวลาท่องนี่มันก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เวลามันสวดได้น่ะ มันมีเนื้อหาสาระ นี่ไง ภิกษุผู้ฉลาด ๕ พรรษาพ้นนิสัย พ้นนิสัยเพราะอะไร เพราะเป็นนักกฎหมาย มันรู้ถึงหลักข้อห้าม หลักธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็รักษาใจได้ นี่พูดถึง เห็นไหม ผู้ที่พ้นนิสัย พ้นนิสัยจากการขอนิสัยไง แต่พ้นจากกิเลสไหมล่ะ? กิเลสพ้นไหม?

ถ้ากิเลสพ้นนะ ดูสิ ท่องปาฏิโมกข์มันต้องท่องได้ ท่องได้นี่ต้องคล่องปาก เห็นไหม เวลาสวดมันแบกภาระของหมู่ไว้ หมู่คณะน่ะในสังฆกรรมนั้น ถ้าไม่มีใครสวดปาฏิโมกข์ได้ปรับอาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดเลย ถ้าผู้ที่สวดปาฏิโมกข์ได้ เห็นไหม นี่ปลด เป็นผู้รับภาระของหมู่คณะ หมู่คณะ เห็นไหม มันถึงคราวสังฆกรรมต้องลงสังฆกรรม ถ้าไม่ลงสังฆกรรม ถ้าไม่มีใครสวดปาฏิโมกข์ได้ ปรับอาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดเลย

แล้วสัตตาหกรณียะส่งให้ภิกษุนั้น เพราะสมัยโบราณยังไม่มีหนังสือ มันต้องปากต่อปาก ฉะนั้น ถ้าสวดปาฏิโมกข์ไม่ได้ ในเข้าพรรษานี้ ให้สัตตาหกรณียะไปเรียนปาฏิโมกข์ คือไปเรียน คือไปท่องจำจากสำนักอื่น ไปท่องไปต่อปาฏิโมกข์ไง นี่ไง อยู่ใน สัตตาหกรณียะนี่ในพรรษาที่ลาได้ ที่ลาสัตตาหะไปเรียน นี่ไง เวลาสวดปาฏิโมกข์ได้

การสวดปาฏิโมกข์ได้มันก็เป็นความมหัศจรรย์ แต่ถ้าปฏิบัติได้ มันมหัศจรรย์กว่านั้นไง นี่เป็นภาระหมู่ เห็นไหม รับภาระของหมู่ รับภาระ ถ้ามันสวดไม่ได้เลยก็ปรับอาบัติหมด เพราะเป็นสังฆะ ครบสงฆ์ต้องลงปาฏิโมกข์ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าลงก็ต้องลง ลงนี่คือรับภาระหมู่เห็นไหม นี่สวดเป็นรับภาระ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมาล่ะ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา เห็นไหม นั่นเป็นของใคร มันเป็นของใคร ของหมู่คณะของใคร มันเป็นปัจจัตตัง ของจำเพาะ มันจำเพาะใจดวงนั้น

เวลาใจดวงนั้นมันทุกข์มันยาก เวลาบวช เห็นไหม เวลาบวชมา ออกจากโบสถ์มา เวลาบวชมานะ เราจะขาดมาจากฆราวาส ความเป็นฆราวาสเราคุ้นชิน การเกิดมาถ้าผู้อยู่ทางโลกยี่สิบปี ใช้ชีวิตอยู่ทางโลกมายี่สิบปี เวลาบวชแล้วนี่เราต้องขาดจากฆราวาส จากมนุษย์มาเป็นภิกษุ มันเห็นไหม เวลางานบวชเขาถึงเป็นความสำคัญของชีวิต เกิดมาชีวิตหนึ่งก็ได้บวชหนหนึ่ง บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่

ผู้ที่บวชจะพ้นจากทุกข์ เห็นไหม พอกันที ชีวิตฆราวาส ชีวิตทางโลกพอกันที จะไปชีวิตทางธรรม พอบวชชีวิตทางธรรม พอบวชมาแล้วนี่ บวชมาแล้ว เห็นไหม นี่เป็นคนใหม่แล้ว เราเป็นภิกษุ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราไม่ใช่ฆราวาส ฆราวาสเขาเป็นผู้ที่หยาบ อย่างมากก็มีศีลแปดศีลสิบของเขา ถ้าเขามีศีลแปดศีลสิบของเขา เขาดำรงชีพของเขา เขาต้องหาอยู่หากินของเขา

เราบวชมาแล้วประกาศตนเป็นภิกษุ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ สิ่งต่างๆ เราใช้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ นี่สมณสารูป การเคลื่อนการไหว การเหยียดการคู้การกระทำ มันต้องไม่ให้สะเทือนศรัทธาไทย เพราะสะเทือนศรัทธาไทยเขาเรียกว่ามันเป็นประทุษร้ายสกุล สกุลของสมณะ ประทุษร้ายศรัทธาของเขา เขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปน่ะแล้วมันไปขัดหูขัดตาเขา มันทำให้ศรัทธาเขาเสื่อมถอย นี่ประทุษร้ายศรัทธาความเชื่อของเขา ประทุษร้ายความเป็นสมณะของเรา ประทุษร้ายความเป็นสมณะ นี่ประทุษร้ายคือทำแล้วมันเป็นผลลบทั้งนั้น

แต่ถ้าเราบวชแล้ว เราเป็นสมณะ เราจะรักษาหัวใจของเรา เราตั้งใจของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราทำจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่จิต แต่จิตของเราบวชมา เห็นไหม บวชมา บวชด้วยร่างกาย บวชมาด้วยธรรมวินัยด้วยเป็นสมมุติ สมมุติสงฆ์ บวชมาโดยความเป็นสมมุติ สมมุติคือบวชด้วยสถานะของมนุษย์ เวลาเกิดเป็นคนก็เป็นสมมุติ สมมุติคือว่ามันเกิดมาแล้วเกิดจากพ่อจากแม่ เวลาตายก็ตายไป มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

นี่ก็เหมือนกัน มาบวชเป็นพระ ตายจากความเป็นฆราวาสมาเป็นพระ มันก็เป็นสมมุติ สมมุติโดยจริงตามสมมุติ จริงตามโดยธรรมวินัย จริงตาม เห็นไหม เพราะมันเป็นสมมุติ มีกฎหมายปกครอง กฎหมายของคณะสงฆ์เป็นกฎหมายปกครอง แต่ธรรมวินัยเป็นหลัก นี่เป็นหลัก เราถืออันนี้เป็นหลัก แต่ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนไทย เราต้องยอมรับกฎหมายไทย แต่ยอมรับกฎหมายก็ยอมรับสัจจะความจริง แต่ความจริงในหัวใจของเราไง เราไม่ฝ่าไม่ฝืน แต่เราอยากได้ของจริง อยากประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เราถึงบวชแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นความจริง นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นความจริงขึ้นมา แล้วความจริงอย่างนี้มันเป็นความจริงเกิดจากจิต

สนิมก็เกิดจากเหล็ก สนิมก็เกิดจากเหล็ก เพราะมันมีเหล็กมันเกิดสนิม สนิมมันกัดกร่อนจนเหล็กนั้นผุ กัดกร่อนจนเหล็กนั้นย่อยสลายไป นี่ก็เหมือนกัน กิเลสเกิดจากใจ กิเลสเกิดจากใจ เวลาใจขึ้นมามันมีกิเลสตัณหาทะยานอยากมันเผาลน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดจากจิต เกิดจากจิต พอเกิดจากจิต เห็นไหม นี่ไง มันไม่ใช่ปะผุ มันเกิดขึ้นจากการกระทำ อันนี้มันเป็นทางโลก เขาใช้สอยจนเสียหาย ใช้สอยจนเสื่อมสภาพแล้วเอามาปะผุ เอามาทำสี เอามาทำให้มันสวยงาม มันก็อยู่แค่นั้นเอง ธรรมะปะผุ!

แต่ถ้าเป็นความจริง เรารื้อค้นขึ้นมาจากใจของเรา เราจะรื้อค้นขึ้นมาจากใจนะ หัวใจของเรามันจะรื้อค้นขึ้นมา รื้อค้นขึ้นมามันก็เป็นกิจจญาณ สัจจญาณในหัวใจของเราใช่ไหม ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา เรามีธรรมเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่บวชมาๆ เพื่อเหตุนี้ไง เวลาบวชมา แล้วเราบวชร่างกาย บวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ เวลาบวชมามันต้องมีอุปัชฌาย์ ต้องมีสงฆ์ยกเข้าหมู่

แต่เวลาเราบวชใจของเรานี่ มันบวชด้วยความเพียรของเรา ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ คนเขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาทำของเขา ดูสิ เวลาเขาคิดงานๆ ผู้บริหารเขาทำงานด้วยสมองของเขาเหมือนกัน ไอ้นี่มันเป็นงาน ขณะงานทางโลกมันต้องมีตลาด มันต้องมีสินค้า มันต้องมีธุรกิจของเขา มีผู้ซื้อผู้ขาย มันถึงจะเป็นผลประโยชน์ขึ้นมา แต่เวลาเราทำขึ้นมาน่ะ เวลากิเลสกับธรรมๆ เวลาเป็นธรรมขึ้นมาคือจิตมันสงบ จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน เวลามันเป็นกิเลส กิเลสมันต่อต้านทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาต่อต้านขึ้นมาแล้วเพราะด้วยกิเลสเห็นไหม มันถึงจับแปะ จับหยิบฉวยมาแปะเข้าไปที่ใจ หยิบฉวยมาเป็นของเรา

ช่างที่เขาทำสีนะ เขาทำได้แนบเนียนมาก เขาตัดเหล็กแล้วเขาเอาเหล็กมาดาม เสร็จแล้วเขาขัดของเขา เขาโป๊วของเขา เขาทำจนสีของเขากลมกลืนกัน เขาทำนี่ธรรมะปะผุ นี่กิเลสมันปะผุไง ปะผุในหัวใจของเรา ถ้าปะผุในหัวใจของเรา ธรรมะอย่างนั้นมันจะเป็นจริงขึ้นมา อย่างทางโลกเขา เขาซ่อมแซมรถราของเขา เขาปะผุของเขาแล้วเขายังใช้ประโยชน์ของเขาได้ เวลารถเกิดอุบัติเหตุ เวลาเขาเสียหาย เขาทำสีของเขา ทำขึ้นมาเพื่อความสวยงามของเขา เขาใช้ประโยชน์กับทางโลก

แต่จิตใจของเรามันเป็นนามธรรม ใครจะปะผุล่ะ ถ้ากิเลสมันปะผุเราก็รู้ เรารู้อยู่นะ เราสงสัยอยู่นะ สิ่งใดมันใช้ประโยชน์ คน เห็นไหม ภิกษุ ถ้ายังโกหกอยู่ จะทำบาปอกุศลอย่างอื่นที่ทำไม่ได้อีกไม่มีเลย ถ้ามันยังโกหกมดเท็จของมันอยู่น่ะ มันจะปลิ้นปล้อนของมันได้ทุกเรื่อง แล้วถ้ามันปะผุตัวมันเองน่ะ มันรู้ของมันน่ะ มันจะมีอะไรบ้างที่มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ เวลากิเลสมันมีอำนาจครอบงำมันก็เป็นอย่างนั้น

ถ้ากิเลสมีอำนาจครอบงำ ฉะนั้น เวลาเราบวช เราบวชมาเราก็มีเป้าหมายของเรา มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน เราก็จะกระเสือกกระสนไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนะ ถ้ามันจะทุกข์ยากยังไง ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าเรามีสติมีปัญญาทำต่อเนื่อง ทำต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นพระอนาคา”

๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนี่ ทำไมเราจะทนไม่ได้ เกิดมา ๒๐ ปี อย่างน้อย ๒๐ ปีถึงได้บวช ถ้าบวชมาแล้ว เห็นไหม พรรษาเท่าไรแล้ว นี่พรรษาเท่าไร นี่กี่ปี? ๗ ปีทำไมทนไม่ได้ ทำไมทนอยู่ในสภาวะความเป็นพระโดยกิเลสมันบีบคั้น เวลาตัวอยู่วัดใจก็อยู่ข้างนอก คิดร้อยแปดพันเก้า ทำไมทนอยู่ได้ ทำไมความเพียร ความเพียรชอบ ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนาทำไมจะทำไม่ได้ ถ้ามันทำได้เพราะอะไร เพราะเราอยากพิสูจน์ไง

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะสุขจริงยังไง มันมีจริงยังไง มรรคผลมีจริงเหรอ มรรคผลมีจริงพิสูจน์กัน แล้วพิสูจน์กันก็เถียงกันปากเปียกปากแฉะจะพิสูจน์กัน แต่ไม่พิสูจน์ด้วยหัวใจของตัว เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากไหน? นั่งอยู่นี่เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากพ่อแม่ พ่อแม่มีกรรมอะไรกันมาถึงได้มาเกิด? เราเกิดมามันมีกรรมอะไรกันมาน่ะ มันถึงได้พลัดพรากกันอย่างนี้? พิสูจน์สิ! พิสูจน์มา!

มันมีเหตุให้พิสูจน์ มันมีเหตุในหัวใจของเราไง มันมีเหตุเพราะเราเป็นลูก เออ เรามีพ่อมีแม่ เราเป็นลูกน่ะ ถ้าเป็นลูกมันก็มีสายกรรมน่ะ เพียงแต่เรามีครอบครัวไม่มีครอบครัวเท่านั้น ถ้ามีครอบครัวมันก็มีสายกรรมต่อเนื่องไป ถ้าเราไม่มีครอบครัวมามันก็กุดด้วนที่เรานี่ ถ้ากุดด้วนที่เรา เห็นไหม ถือพรหมจรรย์ แล้วบวชมานี่บวชมาแล้ว บวชสัจจะความจริงอย่างนี้ มันจะเป็นความจริงยังไง นี่ไง พิสูจน์กัน

ถ้าพิสูจน์ก็อยากตรวจสอบธรรมะไง นี่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกหกหรือเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะวางธรรมวินัยจริงหรือเปล่า ถ้าจริงไม่จริงน่ะวัดกัน หัวใจพิสูจน์ได้

เวลาเถียงน่ะปากเปียกปากแฉะอวดรู้ อวดไปหมด รู้ไปหมด เข้าใจไปหมด โต้เถียงทุกเรื่อง ตัวเองมาจากไหนยังไม่รู้ จิตนี้มาจากไหนยังไม่รู้ สมาธิเป็นยังไง สมาธิมันเป็นยังไง แล้วเวลามันเกิดปัญญา ปัญญายังไง ภาวนามยปัญญาน่ะ พิสูจน์สิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกอยู่แล้ว ชัดๆ ชัดๆ อย่างนี้ บาลีพระไตรปิฎกเปิดมานี่ปังๆ เลย ชนจังๆ เลย ทำไมมันพิสูจน์กันไม่ได้ ของมีอยู่ทำไมพิสูจน์ไม่ได้ โธ่ โลกเรานะ สมัยก่อนนั่นน่ะ สมัยโบราณ ในเมื่อยังไม่ได้สำรวจโลกนะ เขายังไม่รู้เลยโลกมันกลมหรือมันแบน จนปัจจุบันนี้ศาสนาอื่นยังเชื่อว่ายังแบนอยู่นะ

เราก็แปลกใจนะ พวกเขามาพูดเอง บอกในปัจจุบันนี้ ในศาสนาอื่น ในศรัทธาเขายังเชื่อว่าโลกแบนกันอยู่ ยังเชื่อ แต่ในเมื่อโลกได้สำรวจแล้ว สำรวจจนเรารู้หมดแล้วว่าขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ นี่เราสำรวจ สำรวจจนหมดแล้ว ถ้าสำรวจหมดแล้วมันก็มีแผนที่ มันก็มีสิ่งใดพร้อมหมด เขาสำรวจแล้วมันก็ชัดเจนไง ยิ่งปัจจุบัน เห็นไหม ดาวเทียมขึ้นไปบนโลกส่องมานี่จบหมด เคลื่อนไหวยังไงยังเห็นเลย ดาวเทียมมันจับอยู่ตลอดเวลา ขับรถไปไหนเขายังเห็นเลย

แล้วทำไมเราไม่พิสูจน์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ? มาบวชอยู่นี่ ถ้ามันบวชอยู่นี่ทำไมไม่พิสูจน์ล่ะ อย่ามาตัดแปะ ปะผุกันอยู่อย่างนี้ไม่เอา มันเป็นของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันเป็นของครูบาอาจารย์เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าของเรามันต้องเกิดจากเรา สติก็สติควบคุมหัวใจเราได้

หัวใจนี้มันแสนทุกข์แสนยาก เวลากิเลสมันครอบงำ ทำไมเอ็งทำร้ายกูขนาดนี้ ทำไมเอ็งทำให้กูหลงใหลขนาดนี้ ทำไมเอ็งทำให้กูเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ถามมันสิ ทำไมกิเลสมันทำให้เราเจ็บปวดได้ขนาดนี้ นั่งสมาธิภาวนาอยู่นี่ น้ำตาตกใน ทำไมมีความทุกข์ขนาดนี้ แล้วความทุกข์ขนาดนี้นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ควรละด้วยมรรค เวลามันเกิดนิโรธะคือดับทุกข์

สัจจะความจริงน่ะ อริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราทุกข์ เราทุกข์ขนาดนี้น่ะ ถาม ถามมัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่งนะ เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง จิตใจเป็นสัตตะเป็นผู้ข้อง มันข้องในความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วอวิชชาไม่ต้องไปพูดถึงมัน ความโลภ ความโกรธความหลง มันครอบงำ นี่อวิชชาคือความไม่รู้

จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ความผ่องใสนี่มันไม่รู้ตัวของมัน มันถึงผ่องใส นี่ถ้ามันรู้ตัวของมันน่ะ มันย้อนกลับเข้าไป เห็นไหม จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี่หมองด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เวลามันรู้แจ้ง มันรู้แจ้งด้วยอวิชชา รู้แจ้งด้วยความไม่รู้นะ มันรู้แจ้งของมัน มันข้ามพ้นหมด ถ้ามันข้ามพ้นหมด สิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนั้นน่ะ เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบศาสดาองค์นั้น กราบเจ้าของศาสนา นี่เพราะอะไรล่ะ

เพราะมันเกิดขึ้นมาในใจของหลวงตาไง เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานมานี่ หลวงปู่มั่นเป็นคนชี้นำมา หลวงปู่มั่นเป็นคนดูแลรักษามา เวลาปฏิบัติขึ้นไป เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป หลวงปู่มั่นตายไป ร้องไห้คร่ำครวญเลย ผู้ที่สั่งสอน ผู้ที่ชักจูงมา ท่านก็ได้ตายไปแล้ว นี่ต่อไปนี้เราต้องเผชิญกับความจริงของเราคนเดียว แล้วเวลาเผชิญกับความจริงของเราคนเดียวน่ะก็มาเผชิญกับอวิชชาเสียด้วย เวลาเจอกับลูกหลานกิเลสขึ้นมานี่ หลวงปู่มั่นยังคอยชี้นำยังคอยบอกอยู่ เวลาไปเจอเจ้าวัฏจักร ไปเจอพญามาร ไปเจอพ่อ ไปเจอปู่มัน ไปเจอผู้เฒ่าน่ะ ผู้เฒ่าที่มันมีเล่ห์กลของมัน มันไม่มีใครบอกมีใครสอน ท่านต้องขวนขวายของท่านเอง ท่านต้องประพฤติปฏิบัติของท่านเอง ท่านต้องทำของท่านเอง นี่ท่านกระทำของท่าน

เวลาพิสูจน์ไง พิสูจน์น่ะ มันเกิดขึ้นมามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเกิดขึ้นจากสัจจะความจริง มันไม่ใช่ปะผุ ไม่ใช่ตัดแปะ มันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วเวลาปะผุตัดแปะ เราเห็นได้ เราพิสูจน์ได้เลย นี่เดี๋ยวนี้น่ะมันเป็นแสงเลเซอร์ ดูกล้องจุลทรรศน์นะมันส่อง มันพิสูจน์ได้เลยว่ามันเป็นเนื้อเดียวกันหรือเปล่า มันตัดมาแปะหรือเปล่า พิสูจน์ได้ ยิ่งทางวิชาการน่ะ ใครลอกเลียนแบบใคร ใครเอาของใครมาน่ะ มันสาวหาที่มาที่ไปได้หมดน่ะ นี่ไง วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้

ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราน่ะ เราก็พิสูจน์ได้ ก็เราทำเอง เราทำเอง ก็ทำเอง ทำไม? ก็ทำเอง ถ้ามันเป็นจริง นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงมันก็เป็นความจริงขึ้นมา แล้วเป็นความจริงขึ้นมา มันก็ต้องดูแล ต้องรักษา ต้องปฏิบัติ ต้องเอาจริงเอาจังไง เอาจริงเอาจัง งานนี้งานของสมณะ หน้าที่การงานของเรา เราต้องทำงานอย่างนั้น ไอ้ที่การอยู่อาศัยกันเราก็อยู่อาศัยกัน ความอยู่อาศัยกันมันก็เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยต้องดำรงชีพ ดำรงชีพเราก็อยู่ดำรงชีพ นี่พูดถึงว่าถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เราไม่ปะผุกัน เราไม่เอาสัญญาอารมณ์ของใคร

นี่สิ่งที่เวลาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์น่ะ เห็นไหม ฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังธรรมสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วนี่ตอกย้ำ ตอกย้ำ แก้ความสงสัย เวลาสงสัยเราก็คิดไปอย่างหนึ่ง เราคิดไปอย่างหนึ่ง มีความเห็นไปอย่างหนึ่ง มีทิฏฐิมานะว่าเรารู้จริงเราเห็นจริง โอ๊ย เราเก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้ายังมีความรู้เสมอเราไม่ได้ เราสุดยอดเลย นี่มันคิดไปอย่างหนึ่ง พิสูจน์กัน พิสูจน์ไปให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาน่ะ มันจะไปไหน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันก็อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มันตกข้างเป็นสองส่วนแน่นอน

แต่ถ้ามันจะเอาความจริงขึ้นมา ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทาน่ะความสมดุลๆ ความสมดุลของใคร จริตนิสัยของใคร กิเลสตัณหาความทะยานอยากของใครมากน้อยขนาดไหน เวลาทำสัจจะความจริงขึ้นมาน่ะ ถ้ามันเป็นมรรคขึ้นมามันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เข้าสู่จุดนี้ไง ถ้าเข้าสู่จุดนี้ ดูสิ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ พระอรหันต์กับพระอรหันต์คุยกันมันจบ ผู้ที่ปฏิบัติเป็นความจริง เป็นสัจธรรม มันอันเดียวกันทั้งนั้น

แต่ถ้าไม่มีสัจธรรมนะ กิเลสเต็มตัวเลย กิเลสเราเต็มตัว กิเลสคือทิฏฐิ กิเลสคือความเห็นผิด กิเลสคือการสำคัญตน แล้วเอาธรรมะมาแปะไว้ โอ้โหย มีคุณธรรม โอ้โหย มีคุณธรรม ตัวเองน่ะขี้ทั้งนั้น! เอาธรรมะของครูบาอาจารย์ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแปะไว้ๆ อวดว่า...กลัวเขาว่ากูไม่มี

แล้วมันเป็นประโยชน์อะไร มันเป็นประโยชน์อะไร ถ้ามันเป็นประโยชน์ความจริงมันต้องทำขึ้นมา เอาความจริงของเราขึ้นมานะ ความจริงเป็นความจริง นี่กึ่งพรรษาแล้ว มาถึงกลางพรรษาแล้ว ต่อไปมันจะล่วงไปทางออกพรรษา ออกพรรษาแล้ว เห็นไหม ผู้ที่บวชเป็นประเพณีก็ต้องสึกขาลาเพศไป นี่เขาว่าเป็นทิดเป็นบัณฑิตไง เป็นบัณฑิตนี่บวชมาแล้วบวชมาสามเดือนน่ะ ถ้าบวชมาในวัดบ้านเขาก็เรียนเขาก็ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกกัน ถ้ามาบวชกรรมฐาน กรรมฐานก็ค้นคว้าหาจิตของตัว เวลานั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานี่หาความจริงของเราขึ้นมา เขาเรียนปริยัติกันก็เรียนมาเพื่อปฏิบัติ

เราบวชมา บวชมาจากอุปัชฌาย์อาจารย์ อุปัชฌาย์ก็ให้กรรมฐาน ๕ มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วเราบวชมาแล้วในพรรษาพระกรรมฐานเขาก็ค้นคว้าด้วยสติด้วยปัญญาของตัว ด้วยจิตของตัว ด้วยสมาธิของตัว นี่พิจารณาให้มันแทงทะลุเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจไง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถ้ามันแทงทะลุขึ้นไปนี่มันจะได้อริยทรัพย์ มันจะได้สมบัติ มันจะได้สมบัติความเป็นจริงของเรา มันจะเป็นคุณสมบัติของเรา นี่บวชแล้วประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันจะเป็นโอกาสของเรา เราบวชแล้ว เราทำแล้ว เพื่อประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงว่าผู้บวชเป็นประเพณี

ถ้าผู้ที่บวชแล้วอยากจะพ้นจากทุกข์ บวชแล้วเราจะค้นคว้าของเรานี่ มันเป็นโอกาสนะ โอกาสน่ะ เรามองแต่อนาคต เราจะออกธุดงค์ เราจะไปที่สงัดสงบ เราจะไปที่วิเวก เราจะปฏิบัติจริงจัง เราจะนั่ง เราจะไม่นอนเลย มันคิดไปทั่วเลย ออกพรรษาไปแล้วนะ พอมันเอาบริขารออกไปนอกเขตวัดมันก็ล้มแผละอยู่กำแพงไง ไปไม่รอด พอออกไปแล้วมันจะต้องเผชิญกับอำนาจวาสนาบารมีของตัว บิณฑบาตเลี้ยงชีพ แล้วนี่ดำรงชีพ ถ้าไปประจบคฤหัสน์ มันก็เป็นประทุษร้ายกรรมฐาน ประทุษร้ายความเป็นสมณะ

เวลาตั้งใจนะ โอ้ ออกพรรษาจะไปธุดงค์ จะไปเต็มที่เลย ออกไปจากนอกรั้ววัดก็ล้มแผละอยู่นั่นน่ะ ไปไม่รอด แล้วมันเอาความจริงๆ น่ะ ในปัจจุบันอย่าให้กิเลสมันหลอก เอาจริงๆ นี่แหละ เอาจริงๆ นี่ เอาสัจจะความจริงของตัว เอาศีล สมาธิ ปัญญา เอาความจริงให้เกิดขึ้นมา อย่าให้กิเลสมันปะผุ มาตัดแปะ ตัดเอาที่พอใจมาแปะเป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของเรา มันไม่เป็นหรอก

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องเป็นความจริงขึ้นมา เป็นการประพฤติปฏิบัติของเรา ให้จริงจังกับหัวใจของเรา ให้จริงจังกับตัวเอง ให้จริงจังกับหัวใจอยู่ที่กลางอกนั่นน่ะ เพราะหัวใจอยู่ที่กลางอกนั่นน่ะน่าสงสารมัน เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้บวชเป็นพระกรรมฐาน มีโอกาสในการเผชิญกับกิเลสได้เต็มที่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงเผชิญหน้ามันได้หมดเลย

นี่ให้สงสารมัน โอกาสมีขนาดนี้แล้วมันยังไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักเป็นประโยชน์ แล้วเวลาออกพรรษาไปแล้วมันจะเป็นยังไง นี่ถามมัน ถามหัวใจของตัวเอง ให้สงสารตัวเอง ไม่ต้องสงสารใคร สงสารหัวใจดวงนี้ เอวัง